ใต้ตาข้างซ้าย

--

(ผลงานที่ผ่านการคัดเลือก การแข่งขันประกวดบทความสั้นประจำเดือนสิงหาคม 2563 หัวข้อ ‘บาดแผล’ จัดโดยคณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์)

โดย วรากร เลี่ยมสกุล

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

รอยแผลเป็นของผมปรากฏอยู่ใต้ตาข้างซ้าย แผลกรีดเป็นรอยขวางสั้น ๆ ต่ำลงมาจากใต้ตาเพียงหนึ่งข้อนิ้ว เล็กเสียจนหากไม่สังเกตใบหน้าของผมอย่างถี่ถ้วน ก็คงไม่รู้ว่ามีอยู่ แต่ทุกครั้งที่ส่องกระจก ผมจะยังคงเห็นมันเสมอ รอยตำหนิบนใบหน้าเล็ก ๆ นี้เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจที่ยังคงสลักเด่นชัดอยู่บนใบหน้าราวกับไม่อยากให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกว่าสิบปีที่แล้ว

ชีวิตเด็ก ป. 2 ของผมก็เหมือนกับเด็กวัยฟันน้ำนมทั่วไป ไปโรงเรียน เจอคุณครู มีเพื่อน มีสังคมแบบที่ทุกคนมี หากเทียบกับตอนนี้ ชีวิตตอนนั้นช่างสุขล้นกว่านี้มากมาย จนอดคิดไม่ได้ว่าการมีความสุขของตัวผมสวนทางกับอายุที่มากขึ้นหรือเปล่า แต่สิ่งตรงข้ามกับความสุขในวัยนั้นกลับเป็นวุฒิภาวะที่ยังไม่มากพอจะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ

ทุกเช้าที่โรงเรียน ผมจะมาถึงเป็นคนแรก ๆ เสมอ เช้าวันนั้นก็เช่นกัน ผมมาถึงห้องเรียนพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ซึ่งก็คงเป็นสิ่งหนัก ๆ เพียงสิ่งเดียวที่ตัวผมวัยนั้นต้องแบกไว้ ผมวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะประจำหลังห้อง เป็นธรรมดาของเด็กตัวใหญ่อย่างผมที่ถูกจัดให้นั่งหลังห้อง จนบางทีผมก็สงสัยว่าทำไมคำว่าเด็กหลังห้องถึงกลายเป็นคำเรียกของเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนไปได้ ทั้ง ๆ ที่ความตั้งใจของนักเรียนไม่ได้แปรผกผันกับส่วนสูงของเราเลยสักนิด แต่ความตัวใหญ่ของผมก็ไม่ได้ทำให้เป็นข้อยกเว้นการทำเวรประจำวันของผมวันนี้ ผมหยิบไม้กวาดพร้อมที่ตักขยะ ไล่กวาดเศษยางลบ เครื่องบินกระดาษหรืออะไรก็ตามที่หล่นอยู่บนพื้น ทั้ง ๆ ที่สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นควรจะถูกเก็บกวาดไปตั้งแต่เวรเมื่อวานแล้ว

เวลาผ่านไปไม่นาน เพื่อนร่วมห้องเริ่มมากันมากขึ้น เพื่อนผู้หญิงหลายคนที่มาถึงจับกลุ่มคุยกัน ในขณะที่เพื่อนผู้ชายกำลังอวดของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งซื้อมา บางคนก็กำลังง่วนกับการปั่นงานค้างให้ทันส่งหลังเข้าแถว เป็นเวลาเดียวกับที่ผมเพิ่งกวาดห้องเสร็จพร้อมซากเครื่องบินกระดาษเกือบสิบลำกองพะเนินอยู่ในที่ตักขยะ พอมองเครื่องบินกระดาษเหล่านั้น ไอเดียสร้างความสนุกยามเช้าให้กับเพื่อน ๆ ของผมก็แล่นเข้ามาในหัว ผมเอาเครื่องบินกระดาษมาขยำรวมกันเป็นก้อนลูกบอลขนาดพอดีมือ แล้วตะโกนเสียงดังเพื่อกระตุกความสนใจเพื่อนทั้งห้อง

“มาเล่นดอดจ์บอลกันเปล่า”

ทันทีที่แบ่งกลุ่มกันได้ สงครามบอลกระดาษที่กินอาณาบริเวณของทั้งห้องเรียนก็เริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างผลัดกันหลบ ผลัดกันปาบอลไปมา เสียงตะโกนดังผสมปนเปกันจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร จากบอลกระดาษลูกเดียวก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเพื่อนหลายคนเริ่มฉีกสมุดจดงานมาปั้นบอลกระดาษเพิ่มและปาใส่กันสถานการณ์ขณะนั้นได้เปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นสนามรบในจินตนาการขนาดย่อม ๆ การต้องคอยโยกหัวหลบบอลพร้อมฟังเสียงดังขนาดได้ยินข้ามห้องกลายเป็นฝันร้ายสำหรับกลุ่มผู้หญิงที่นั่งคุยกันและนักปั่นงานที่นั่งหลบอยู่มุมห้องโดยแท้ บางคนถึงขนาดต้องหนีออกไปนอกห้องเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เกมสงครามบอลกระดาษนี้ก็ยิ่งมีทีท่าว่าจะเละเทะยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ครูประจำชั้นทุกคนคงไม่ปรารถนาจะเห็นเป็นแน่แท้ เมื่อหลายคนเริ่มไม่สนกฎกติกาที่ตั้งกันไว้ตอนแรกเริ่ม ขยำลูกบอลปากันใส่มั่วไปหมด ทุกคนไม่อยู่กับฝั่งตัวเอง เริ่มวิ่งใส่กันทั่วห้องพร้อมกับปาบอลกระดาษในมืออย่างสนุกสนาน ผมเองก็เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น วิ่งไล่เพื่อนพร้อมกับพยายามขว้างบอลกระดาษให้โดนพอพลาดก็ต้องวิ่งหนี เพื่อนคนนั้นที่เก็บบอลกระดาษแล้วผลัดมาไล่ผมต่อแทน

ผมเก็บบอลได้และเกิดนึกอยากจะแกล้งเพื่อนคนที่ไม่ได้เล่นขึ้นมา ผมมองไปหาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งทำงานค้างอยู่ ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่าเมื่อพูดถึงเรื่องความขี้โมโห ชื่อของเธอจะอยู่ในลิสต์คนแรก ๆ เสมอ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอยากแกล้งของผมลดลง ผมเล็งไปที่เธอพร้อมกับขว้างลูกบอลกระดาษในมือเต็มแรง

“เฮดช็อต!” ผมทำเสียงเลียนแบบเกม FPS ชื่อดังเมื่อยิงโดนหัวศัตรูพร้อมกับเสียงตุ้บเล็ก ๆ เมื่อกระดาษกระทบกับหัวเด็กผู้หญิงคนนั้น

“เฮ้ย!” เธอลุกยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนใส่ผม

ผมทำเป็นเบือนหน้าหนีพร้อมความสะใจเล็ก ๆ

เธอจ้องผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตรสักพักหนึ่งแล้วก็กลับไปนั่งทำงานต่อ ความสนุกของผมยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะผมหยิบบอลลูกที่สองมาแล้วปาใส่หัวเธอเหมือนเดิม

“ไม่ไหวแล้วนะโว้ย!” เธอลุกยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับตวาดใส่ผม

“ทำงานอยู่ไม่เห็นหรือไงวะ! แกล้งผู้หญิงสนุกนักหรือไง ไอ้อ้วน” เธอว่าผมต่อพร้อมกับสายตาของเพื่อนทั้งห้องที่หันมามอง

“แล้วคิดว่าตัวเองผอมนักหรือไง แก้มอย่างกับซาลาเปา” ผมสวนกลับพร้อมทำหน้าตากวน หลังจากนั้น เราสองคนก็ตะโกนด่ากันไปกันมาแบบไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางสายตาของเพื่อนในห้อง จนในที่สุด

“ถ้าไม่หยุดจะปาใส่นะ” เธอว่าพลางหยิบกรรไกรมากำไว้ในมือ

ผมทำหน้าล้อเลียนใส่เธอเหมือนเดิม เพราะคิดว่าเธอจะไม่กล้าปาของมีคมที่อยู่ในมือใส่ผม

แต่ไม่ทันจะสิ้นความสะใจ เธอก็เหวี่ยงกรรไกรใส่หน้าผม กลายเป็นความเป็นจริงซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ผมคิดโดยสิ้นเชิง

“โอ๊ย” ผมส่งเสียงร้องเมื่อกรรไกรกระทบใต้ตาข้างซ้ายก่อนที่มันจะหล่นลงกับพื้นพร้อมกับขยี้ตาเล็กน้อยก่อนกลับไปตวาดใส่เธอด้วยความโกรธ

“เจ็บนะโว้ย!”

“เปค อะไรติดใต้ตาอะ” เพื่อนคนหนึ่งนอกบทสนทนาร้องทักขึ้นเมื่อสังเกตหน้าผม

ผมรีบหันไปหากระจกที่ติดไว้หน้าห้องด้วยความสงสัย

สิ่งที่ปรากฏคือรอยแผลสีแดงพร้อมเลือดที่ค่อย ๆ ซึมออกมาจากแผลใต้ตานั้น กรรไกรที่เด็กหญิงคนนั้นเหวี่ยงใส่ผมเมื่อสักครู่ได้สร้างบาดแผลสดสีแดงใต้ตาผม ผมเริ่มร้องไห้ออกมาทันทีที่เห็นเลือดซึมออกมาจากแผลมากขึ้น พร้อมความชุลมุนวุ่นวายของเพื่อน ๆ ที่ปะทุขึ้น

ในห้องขณะนั้นเหมือนเกิดคดีอาญาแบบย่อม ๆ ได้ เพื่อนในห้องบางส่วนวิ่งไปตามครูประจำชั้นที่กำลังยืนเวรให้นักเรียนสวัสดีอยู่หน้าโรงเรียน บางคนหากระดาษทิชชูให้ผม นักเรียนห้องอื่นที่เดินผ่านก็ชะเง้อมองดูจากหน้าประตูด้วยความสงสัยพอ ๆ กับเพื่อนร่วมห้องบางคนที่เพิ่งมาถึง โจทก์ของผมพยายามอธิบายกับเพื่อนผู้หญิงของเธอด้วยความตกใจ ส่วนผมเอากระดาษทิชชูซับเลือดที่ไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาพรางกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ห้องพยาบาลดีไหม แต่ไม่ทันไรคุณครูประจำชั้นก็วิ่งมาถึงห้องและเข้ามาดูอาการผม บทสรุปในวันนั้นคือนักเรียนที่ก่อสงครามบอลกระดาษโดนตีทุกคนไม่เว้นแม้กระทั้งผม โจทก์ของผมโดนตีหนักกว่าเพื่อนหน่อยเพราะทำผมเป็นแผลพร้อมกับต้องแจ้งให้ผู้ปกครองรู้ หลังจากได้รับโทษทัณฑ์ตามคดีความที่ก่อแล้ว ชั่วโมงโฮมรูมหลังเข้าแถว คุณครูประจำชั้นคนเดิมก็ทำการจัดอบรมชุดใหญ่ให้กับประชากรชาว ป 2.1 ทุกคนเพราะแผลขนาดไม่ถึง 5 เซนติเมตรใต้ตาผม

เหตุการณ์ในครานั้นกลายเป็นเรื่องที่ผมจำมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมเรียนรู้อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของชีวิต เหตุเกิดเพราะผมไปแกล้งผู้หญิงคนนั้นก่อน ผมไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเธอว่าเธอจะเป็นยังไงเมื่อถูกแกล้ง เลยกลายเป็นความสนุกของตัวผมฝ่ายเดียวซึ่งสวนทางกับความรู้สึกเธอ ผมจึงคิดได้ว่าอีกหนึ่งสิ่งสำคัญของความเป็นมนุษย์ที่เราต้องมีคือ “ความเห็นใจ”

“เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นใจเขาให้เหมือนกับใจของตัวเอง” เรื่องราวของบาดแผลนี้ได้ให้บทเรียนนี้แก่ผมตั้งแต่วันนั้น หลายครั้งหลายคราที่ผมเคยคิดหาทางลบแผลนี้บนใบหน้า แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเลิก ผมปล่อยไว้แบบนี้ก็ดีแล้ว ปล่อยให้มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปล่อยให้มันเป็นรอยตำหนิบนใบหน้าและปล่อยให้มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทเรียนอันล้ำค่าที่ผมได้มา

เพราะแผลเป็นใต้ตาเล็ก ๆ นี้คือส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมตัวตนของผมจนกลายมาเป็นผมในทุกวันนี้

--

--