แก้วตาดวงใจ

Artsgoz Writing
2 min readNov 6, 2020

--

(ผลงานที่ผ่านการคัดเลือก การแข่งขันประกวดเรื่องสั้นประจำเดือนสิงหาคม 2563 หัวข้อ ‘บาดแผล’ จัดโดยคณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์)

โดย ๒๒๑

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

“ทำอะไรอยู่เหรอแก้ว” เด็กหญิงทักทายเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะทิ้งตัวลงที่ที่นั่งของตัวเอง

“อ้อ…รัตน์นี่เอง” แก้วสะดุ้งเล็กน้อย เธอจดจ่อกับชิ้นงานตรงหน้ามากไปจนไม่ได้สังเกตว่าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ มาถึงตอนไหน อันที่จริงจะเรียกว่าจดจ่อก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว น่าจะเรียกว่าใจลอยเสียมากกว่า

“นี่ ว่าแต่แผลที่ขาล่ะ หายหรือยัง”แก้วไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้า แต่รัตน์ก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนมักจะนั่งวาดรูปในเวลาว่างแบบนี้เสมอ แค่เพียงทักทายไปตามประสาเท่านั้น เธอถามคำถามใหม่ สายตาก้มมองที่ขาของเพื่อน สังเกตได้ว่าบาดแผลที่เห็นชัดเมื่อไม่กี่วันก่อนจางลงมากแล้ว

“ดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่เจ็บแล้วด้วย ขอบใจนะ” แก้วยิ้มตอบ รู้สึกไม่ดีที่ทำให้เพื่อนต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด บาดแผลบนตัวเธอไม่ได้ร้ายแรงอะไร ไม่ได้มีเลือดออกหรือเหวอะหวะจนน่ากลัว เป็นเพียงริ้วจาง ๆ แต่ยังชัดพอจะมองเห็นได้ไม่ยาก

“เราถามจริง ๆ นะ แก้วไม่โกรธแม่หรอ” รัตน์เคยถามคำถามนี้ไปแล้วหลายครั้ง และคำตอบที่ได้กลับมาก็เหมือนเดิม เดาว่าครั้งนี้ก็ด้วย

“ไม่โกรธหรอก แม่บอกว่า…”

“แม่รักแก้ว แม่อยากให้แก้วโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ใช่ไหมล่ะ” ยังไม่ทันที่เพื่อนจะได้ตอบอะไร รัตน์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ตามที่เดาเอาไว้ว่าเพื่อนของเธอจะตอบว่าอะไร เธอได้ยินประโยคนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับแก้วเอาเสียเลย รัตน์เป็นคนเดียวที่คอยรับฟังเพื่อนอยู่เสมอ เธอจึงรู้ว่าที่โดนตีบ่อยครั้งก็ไม่ใช่ความผิดของแก้วเลย เพื่อนของเธอไม่ใช่เด็กเกเร “เฮ้อ เอางี้นะ แก้วว่ารัตน์เป็นเด็กเกเรไหม”

“จะบ้าเหรอ รัตน์เป็นคนเก่งแถมยังนิสัยดีอีก เกเรตรงไหนกัน” แก้วหัวเราะเบา ๆ นึกสงสัยว่าทำไมเพื่อนถึงถามอะไรแปลก ๆ แถมยังถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ใช่ไหมล่ะ แก้วก็รู้ว่าแม่เราไม่เคยตีเรา เราก็ยังโตมาเป็นคนดีได้เลยนี่

แก้วไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นอีก พอดีกับที่สัญญาณเคารพธงชาติดัง เธอกับเพื่อนจึงต้องไปเตรียมตัวเข้าแถว

ทุกอย่างที่รัตน์พูดถูกทั้งหมด แก้วรู้จักเพื่อนคนนี้มานาน เธอรู้ว่าเพื่อนก็เป็นคนดีจริง ๆ และรัตน์ก็ไม่เคยโดนแม่ตีเลยสักครั้ง ไม่มีอะไรเกินจริงเลยในคำพูดของเพื่อน รัตน์บอกแก้วอยู่เสมอว่าแม่ของเธอใช้วิธีคุยกันด้วยเหตุผล นั่นทำให้รัตน์เป็นคนที่กล้าแสดงออก กลับกัน แก้วเป็นคนเงียบ ๆ และกลัวที่จะพูดความคิดของตัวเอง

แก้วพยายามจะเข้าใจว่าแม่ก็คงมีวิธีการสอนลูกที่ต่างกันไป

แต่ถึงอย่างนั้นแก้วก็ยังอิจฉารัตน์เหลือเกิน

และขณะที่คิดอยู่นี้ ดูเหมือนว่าบาดแผลของแก้วจะเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

“แก้วออกไปข้างนอกนะคะ” เด็กหญิงบอกแม่ที่อยู่ในครัว เธอทำการบ้านเสร็จแล้ว มีเวลาเหลือราว ๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น เธออยากจะออกไปวาดรูปข้างนอก ช่วงนี้เธอรู้สึกอึดอัดกว่าปกติเวลาที่ต้องอยู่บ้าน

แก้วถอยจักรยานออกจากที่จอด เอาสมุดกับอุปกรณ์วาดรูปใส่ตะกร้าหน้ารถ เตรียมที่จะขี่ออกไป แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของเด็กผู้ชายที่เธอคุ้นเคย

“แก้วไปไหนอะ กานต์ไปด้วย”

“ไม่ต้องไปหรอก พี่ไม่ได้ไปเล่นนะกานต์” แก้วตอบน้องชายที่อายุน้อยกว่าเธอห้าปี ความจริงแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าน้องชายจะไปด้วย แต่แก้วออกมาจากบ้านเพราะไม่อยากเจอหน้าคนในบ้าน มีแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เธอจะได้อยู่กับตัวเอง และเธอก็กังวลว่าถ้าพากานต์ไปด้วยเธออาจจะ‘ก่อเรื่อง’ ขึ้นมาอีกก็ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ยินดีที่จะพาน้องชายไปด้วย

“ไม่เอาอะ จะไปด้วย”

“ก็บอกว่าไม่ต้องไง อยู่นี่แหละ” ว่าแล้วแก้วก็รีบขี่จักรยานออกไป เพราะเถียงกับน้องชายนานกว่านี้ก็คงไม่ดีกับตัวเธอเอง

แต่กานต์ไม่มีเพื่อนเล่นที่ไหนแล้วนอกจากพี่สาวของเขา เขาเล่นคนเดียวรอจนกระทั่งแก้วทำการบ้านเสร็จ ดังนั้นกานต์จะไม่ยอมเด็ดขาด คิดได้ดังนั้น เด็กชายจึงตัดสินใจวิ่งตาม แล้วคว้าเบาะหลังจักรยานของพี่สาวที่พยายามจะหนี ตั้งใจจะกระโดดขึ้นไปนั่ง แต่ไม่ทันคิดว่าทั้งคู่อาจจะต้องเจ็บตัวจากการกระทำนั้น

ยังไม่ทันออกจากหน้าบ้านไปไกล จักรยานสีชมพูสดก็ล้มลง เพราะผู้ขับขี่เสียการทรงตัว ข้าวของที่ตะกร้าด้านหน้ากระจัดกระจาย เด็กทั้งสองล้มไม่เป็นท่าบนพื้นแข็ง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าต่างคนต่างมีแผลคนละหลายแห่ง

“กานต์! ทำอะไรเนี่ย!”แก้วผลักจักรยานออก ลุกขึ้นนั่ง ปัดฝุ่นออกจากตัว เมื่อสำรวจตามร่างกายแล้วก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาบริเวณหัวเข่าและข้อศอก แต่เธอไม่ร้องไห้ บาดแผลครั้งนี้ไม่ได้เจ็บเกินความอดทนของเธอ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับเด็กชายวัยหกปี

“เลือดออกด้วย กานต์ กานต์เจ็บ…” น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มเด็กชายตัวน้อย เขาไม่ชินกับการเจ็บตัวเหมือนอย่างพี่สาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับแผลที่ถึงขนาดมีเลือดออก

“ตายแล้ว! อะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น!” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น เพราะได้ยินเสียงดังแปลก ๆ จากหน้าบ้าน เธอออกมาดูทันที และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เธอตกใจ

“แม่จ๋า กานต์เจ็บ” เด็กชายยังคงนั่งอยู่ที่พื้น ร้องเรียกแม่ ส่วนเด็กหญิงผู้เป็นพี่สาวพยายามลุกขึ้นเพื่อเก็บของ

“ตายแล้ว กานต์ลูก ไหนแม่ดูซิ” เธอย่อตัวลงดูลูกชาย มีแผลที่ทั้งแค่ถลอกไปจนถึงเลือดออกเต็มช่วงขา และบางส่วนบริเวณข้อศอก “ทำไมแผลเต็มตัวแบบนี้ล่ะ แก้ว! ทำอะไรน้อง” เธอหันไปดุลูกสาว

“แก้วเปล่านะแม่ ก็กานต์…” เด็กหญิงเงียบเสียงลง เธอไม่แน่ใจว่าพูดไปแล้วแม่จะเชื่อเธอ หรือว่าจะทำให้โทษของเธอหนักขึ้นกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าน้องเจ็บ อย่างเดียวที่เธอทำได้คือยอมรับผิด

แต่วันนี้แก้วจะลองดู เธออยากจะพูดความคิดของตัวเองออกไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอไม่ใช่คนผิด

เด็กหญิงก้มหน้า กอดสมุดวาดรูปไว้แน่น น้ำตาเริ่มไหล แต่ไม่ใช่เพราะบาดแผลบนร่างกาย

“แก้ว…ไม่ได้ทำ” แม้จะไม่เต็มเสียง แต่เธอก็พูดออกไปแล้ว

“ไม่ได้ทำอะไรแล้วทำไมน้องถึงเจ็บตัวแบบนี้ ทำไมถึงขยันก่อเรื่องนัก!” ผู้เป็นแม่ผละจากลูกชาย ลุกขึ้นยืน จ้องหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว เธอกำชับกับลูกอยู่เสมอว่าเป็นพี่ต้องดูแลน้อง การที่ลูกเจ็บตัว อีกทั้งลูกคนโตยังโต้แย้งเธอทั้งที่ปกติไม่เคยทำ มันทำให้เธอไม่พอใจเอามาก ๆ

“แล้วน้องเจ็บตัวคนเดียวหรือไง แก้วก็เจ็บเหมือนกันแม่ไม่เห็นเหรอ แก้วบอกว่าแก้วไม่ได้ทำ!” เด็กหญิงใช้ความกล้าเฮือกสุดท้าย พูดความในใจทั้งหมดออกไป คราวนี้เธอตะโกนเสียงดัง

แก้วปาของทั้งหมดลงพื้น หันหลัง วิ่งหนีสุดแรง แม้ว่ามันจะทำให้แผลยิ่งเจ็บ แต่รวม ๆ แล้ว แผลทุกจุดบนร่างกายก็ยังเจ็บน้อยกว่าบาดแผลลึกในใจของเธอที่ไม่เคยรักษาหาย

หรือบางทีอาจจะไม่เคยได้รับการรักษาเลยสักครั้ง

“แก้ว! จะไปไหน! กลับมานะ!” หญิงสาวตะโกนเรียกสุดเสียง แต่ไม่ได้ตามไป เพราะเสียงสะอื้นของลูกชายดังแทรกขึ้น เธอปล่อยลูกชายไว้คนเดียวไม่ได้

ขณะทำแผลให้ลูกชาย หญิงสาวคิดทบทวนกับตัวเอง ตั้งแต่ที่แยกทางกับสามี เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด และอยากให้ลูกคนโตเป็นที่พึ่งของน้องชายได้

ไม่บ่อยนักที่ลูกสาวจะมีน้ำตาให้เห็น เธอเข้าใจว่าแก้วเป็นเด็กเข้มแข็ง

ถ้าอย่างนั้น เธอผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกัน

“แม่ แล้วแก้วล่ะ แก้วไปไหน” เสียงของลูกชายทำให้เธอหลุดจากห้วงความคิด

“เดี๋ยวแม่จะไปตามพี่แก้วกลับมาเอง เดี๋ยวกานต์ไปอยู่กับคุณป้าข้างบ้านก่อนนะ” เธอเร่งมือจัดการให้เสร็จ เก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่ แล้วจูงมือพาลูกชายไปฝากไว้กับเพื่อนบ้าน เพราะถ้าพาไปด้วยคงจะทำอะไรได้ช้า

หญิงสาวพบสมุดวาดรูปของลูกสาวบนพื้น นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้เก็บเข้าบ้านไปด้วย การวาดรูปเป็นอีกอย่างหนึ่งที่แก้วชอบ แต่ช่วงนี้ลูกไม่ค่อยจะวาดอะไรต่อหน้าเธอเท่าไร

เธอเปิดสมุด เผยให้เห็นรูปวาดที่มีสีสันสดใส บ้างเป็นรูปบ้าน ในภาพมีครอบครัวที่ประกอบไปด้วยแม่ ลูกสาว และลูกชาย บ้างเป็นรูปที่โรงเรียน มีเด็กผู้หญิงสองคนจับมือกัน รวมไปถึงรูปอื่น ๆ ตามประสาที่เด็กผู้หญิงทั่วไปจะวาด แต่ที่เห็นได้ในเกือบทุกหน้า คือรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก มีรอยยิ้มสดใส

หญิงสาวเปิดดูต่อไป จนถึงช่วงท้ายเล่ม สีสันบนรูปค่อย ๆ น้อยลง

บนตัวของเด็กหญิงคนนั้นมีบาดแผล หน้าตาไม่สดใส

และตอนนี้เด็กหญิงคนนั้นไม่ยิ้มแล้ว…

หญิงสาวรู้แล้วว่าเธอพลาด เธอไม่เคยรู้ว่าบาดแผลที่เธอเห็นว่าจางลงจนหายดี แท้จริงแล้วไม่เคยหายไปเลย

--

--