บาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็น

--

(ผลงานที่ผ่านการคัดเลือก การแข่งขันประกวดเรื่องสั้นประจำเดือนสิงหาคม 2563 หัวข้อ ‘บาดแผล’ จัดโดยคณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์)

โดย พิมพ์ลภัส กังสวัสดิ์

Trigger Warning: Self Harm, Suicide

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

“วางมีดลงก่อนเถอะ” เพื่อนสนิทของฉันกล่าวกับฉันเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ ภายในใจคงนึกหวั่นกลัวว่าหากเพิ่มความดังของเสียงขึ้นอีกนิด ฉันจะเสียสติไป “ไม่เป็นอะไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”

ฉันก้มมองมีดทำครัวในมือ บางทีอาจจะเป็นมีดที่ใช้แล่ปลาทำซูชิของคนญี่ปุ่น ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันไม่ใช่เชฟและมีดนี่ก็ไม่ใช่ของฉัน ฉันรู้เพียงแต่ว่ามันคมมาก

“ต้องล้างไหม” ฉันถาม มีดเล่มนี้มีคราบเลือดอยู่ แน่นอนว่าฉันต้องถามออกไปแบบนั้น แต่เขากลับนิ่งไป พลางทำหน้าเหมือนคำถามนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เขาอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักพเยิดไปทางเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านหลัง

“ไม่ต้อง วางไว้ตรงนั้นแหละ”

ฉันทำตามอย่างไม่อิดออด และความเงียบก็คั่นกลางระหว่างพวกเราอีกครั้ง ฉันเสตามองออกไปนอกหน้าต่าง เปลี่ยนมาเหม่อมองเพดาน จ้องมองหลอดไฟและกระดานหน้าห้อง สุดท้ายก็วกกลับมาที่ใบหน้าของเพื่อน ฉันมองเข้าไปในตาของเขา เขาเพ่งมองไปที่พื้น ดวงตาเขาจดจ้องอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาที่ความเงียบคั่นกลางพวกเรา ไม่มีแม้สักวินาทีที่เขาจะหันไปมองทางอื่น ฉันไม่อยากมองตาม แต่ก็ยากที่จะไม่มอง

ที่สุดปลายสายตาของทั้งเราสองคือร่างของคนคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่ง มีรอยแทงและเฉือนสองสามแผลตามเสื้อผ้าและลำตัว เลือดสีเข้มไหลเจิ่งนองราวกับเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ … เป็นเลือดสีเดียวกับที่อยู่บนมีดแล่ปลา

“เจ็บมากไหม” เขาถามพลางช้อนสายตาขึ้นมองหน้าฉัน คราวนี้เป็นฉันเองที่ยังคงจ้องมองศพไม่วางตา

“อืม” ฉันพยักหน้าตอบรับเบา ๆ ขณะยกมือขึ้นจับหลังคอของตัวเอง ให้เนื้อหนังของตัวเองกับเส้นผมที่หนาและยาวสยายไปจนกลางหลังมอบความอบอุ่นให้กับมือที่เย็นเฉียบและสั่นไม่ยอมหยุด “มาก ๆ เลยล่ะ”

“เธอรู้สึกเจ็บตรงไหนบ้าง” เขาเดินก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ส่วนฉันก็พยายามจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะว่าติดเคาน์เตอร์ที่อยู่ด้านหลัง

“ฉันไม่รู้” ระดับเสียงของฉันดังขึ้นโดยที่ตัวฉันเองก็ไม่รู้ตัว “รู้แค่ว่ามันเจ็บมาก มันเจ็บจนอยากจะร้องไห้ เจ็บจนอยากจะหลับ ๆ ไปซะแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย เจ็บจนอยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป… แต่ฉันก็กลัว…

นี่ ความตายมันน่ากลัวมากไหม”

น้ำเสียงของฉันสั่นเครือ เจือไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอได้ถามออกไปกลับรู้สึกโล่งอย่างประหลาด เขาคงเห็นท่าทีโล่งอกของฉันจึงได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อลง ไหล่ที่ตึงเกร็งก็ลดต่ำลงเหมือนยามปกติ

“น่ากลัวสิ เจ็บปวดด้วย แต่บางทีอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่าที่เธอรู้สึกอยู่ตอนนี้ก็ได้นะ… นั่นสิ เธอคงกลัวและรู้สึกทรมานมาก ฉันขอโทษที่ไม่สังเกตเห็นให้เร็วกว่านี้ ฉันขอโทษที่มองไม่เห็นว่าแผลของเธอใหญ่แค่ไหน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” เขาพูดซ้ำราวกับจะย้ำให้แน่ใจว่าฉันจะไม่ลืมสิ่งนี้ไป “ฉันรักเธอนะ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ไม่ว่าเธอจะมีบาดแผลใหญ่แค่ไหน ฉันจะช่วยรักษาให้เอง ฉันจะคอยประคองและโอบอุ้มเธอ… เพราะงั้นอย่าตายเลยนะ”

ฉันไม่อาจห้ามไม่ให้น้ำตาไหลนองยามที่ได้ยินประโยคนั้น ไม่มีเสียงครวญครางหรือเสียงสะอื้น มีเพียงความว้าเหว่และเงียบงัน

“ถ้าเธอพูดแบบนั้นก่อนหน้านี้ ฉันก็คงไม่แทงเธอหรอก”

เขายิ้มให้กับคำขอโทษนั้น

“ถือว่าเราเจ๊ากันก็ได้ ทีนี้ฉันก็มีบาดแผลเหมือนกับเธอแล้วนะ” เขาพูดเสียงอ่อน “ถึงแม้บาดแผลของเธอจะไม่มีใครเห็น แต่ตัวเธอก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าฉันที่นอนอยู่ตรงนั้นเลย”

ฉันสบตากับเขา แล้วสลับไปมองตาคู่เดียวกันแต่ไร้ชีวิตชีวากว่าที่อยู่ที่พื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที คนที่คุยกับเธอเมื่อครู่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

ไม่สิ เขาไม่เคยอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว

จู่ ๆ ในใจของฉันก็รู้สึกโหวงอย่างประหลาด เสียงเข็มนาฬิกาบนฝาผนังเหนือกระดานทำให้หัวใจที่สั่นระรัวราวกับปืนกลกลับมาเต้นเป็นจังหวะเนิบนาบอีกครั้ง

‘หกโมงแล้ว’ ฉันคิดในใจ

ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง การสิ้นศรัทธา ความคิดด้านลบที่ค่อย ๆ ทิ่มแทงจิตใจของฉันอย่างช้า ๆ มาตลอดเวลาหลายปี กรีดแทงกล้ามเนื้อเกิดเป็นบาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็น ฉันร้องไห้คร่ำครวญอย่างเงียบงันด้วยกลัวว่าเสียงร้องของฉันจะกลายเป็นคมมีดที่เฉือนร่างของผู้คนรอบตัว ทว่าความเงียบนั้นนี่แหละที่คมกริบยิ่งกว่าใบมีดใด ๆ เลือดที่ไม่มีใครรับรู้หยดแล้วหยดเล่าไหลตกสู่พื้นดินและเจือจางไปกับน้ำตาที่ตามมาไม่ห่าง

ฉันต้องเจ็บปวดอีกเท่าไร ฉันต้องกรีดร้องอยู่ในใจไปอีกนานแค่ไหน ฉันต้องรอไปจนถึงเมื่อใดไม่มีใครรู้ เพราะมีเพียงฉันเท่านั้นที่เห็นและมีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้ จึงมีเพียงฉันที่คอยเลียรักษาบาดแผลนี้

“กลับบ้านดีกว่า”

แม้จะเอาพลาสเตอร์ปิดแผลที่มองไม่เห็นนั้นไว้อย่างไร ความรู้สึกเจ็บปวดก็ยังคงอยู่ ไม่จางหายไปแม้แต่นิด

--

--