ขีดคุณธรรม

Artsgoz Writing
2 min readNov 6, 2020

--

(ผลงานที่ผ่านการคัดเลือก การแข่งขันประกวดเรื่องสั้นประจำเดือนสิงหาคม 2563 หัวข้อ ‘บาดแผล’ จัดโดยคณะกรรมการนิสิตอักษรศาสตร์)

โดย น้ำตาเทียน

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

ท่อนแขนของผมกลมกลึงเรียบเนียน ไม่มีแม้แต่สะเก็ดหรือรอยด่าง นั่นคงเป็นผิวพรรณที่ใครหลายคนพึงปรารถนา ด้วยเชื่อว่าผิวพรรณที่จะเรียกว่างดงามนั้นต้องดุจเดียวกับทารกแรกคลอด ปราศจากริ้วรอยจากการเผชิญโลก เผชิญความสาหัสจากสังคม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราทุกคนล้วนปรารถนาอย่างแท้จริง

“อิฐ ครูจำเป็นจะต้องลดขีดคุณธรรมสุดท้ายของเธอออก นั่นหมายความว่าเธอจะต้องย้ายโรงเรียน” อิฐหลุบตาต่ำ ถอนลมหายใจพรูยาว เห็นดังนั้นผมก็แสยะยิ้มให้กับผลกรรมของไอ้คนชั่วที่ริอ่านจะมาหาเรื่องผม “ส่วนเอก” เสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องหุบยิ้ม “ครั้งนี้ครูจะลดขีดคุณธรรมของเธอเช่นกัน เธอจะเหลือขีดคุณธรรมเพียงขีดเดียว” วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกอะไรหนัก ๆ ฟาดลงกลางหน้าผาก ภาพมหาวิทยาลัยในฝันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาตอกย้ำในความทรงจำ หลังจากนั้นก็เผลอร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว

กรณ์ตรงเข้ามาหาผมทันทีที่เดินออกจากห้องพักครู เขาคว้าแขนที่ผมกำลังจะใช้ปาดน้ำตา สำรวจขีดคุณธรรมและพบว่ามันเหลือเพียงแค่รอยเดียว “เห้ย ! เขาถือว่าเป็นโทษหนักเลยหรอวะ” ผมพยักหน้า “ดวงซวยถึงขั้นถูกลดรอยแผลเลยหรอวะ”

ผมสะดุ้งโหยง รีบเอามืออุดปากกรณ์ “มึงจำกฎของโรงเรียนไม่ได้หรือไง มึงต้องเรียกว่าขีดคุณธรรม ห้ามเรียกว่ารอยแผล” ครูใหญ่เคยให้เหตุผลว่าคำที่กรณ์เพิ่งจะพูดไปเป็นการบิดเบือนความหมาย และจะได้รับโทษสถานเบาหากใครหลุดปากพูดออกมา

“เผื่อกูจะได้เหลือขีดคุณธรรมเท่ากับมึงไง มีสองขีดตั้งแต่เข้าเรียนมานานแล้ว” กรณ์หัวเราะ

“ไม่ขำเลยสักนิด เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว กูคงหมดโอกาสจะได้ขีดคุณธรรมสี่ขีดแน่นอน” ขีดคุณธรรมสี่ขีดซึ่งลากไขว้กันเป็นดอกจันคือตราประทับที่นักเรียนทุกคนพึงปรารถนา เพราะมันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด และนักเรียนที่มีตราประทับนี้จะได้สิทธิ์เข้าเรียนมหาวิทยาลัยธารมิกา มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่รับเฉพาะเด็กนักเรียนที่มีความประพฤติดีเท่านั้น

“มึงอยากได้ขีดคุณธรรมเพิ่มใช่มั้ย กูได้ยินมาว่าช่วงนี้ครูฝนเตรียมเนื้อหามาสอนนักเรียนไม่ทัน ถ้ามึงไปช่วยงานครูอาจจะทำเรื่องขอขีดคุณธรรมจากครูใหญ่ให้” แววตาของผมเป็นประกายในทันที “แต่มึงต้องจำกฎระเบียบให้ดี อย่าเผลอไปทำผิดต่อหน้าครูฝนเสียอีก ไหนมึงลองท่องสามกฎเหล็กมาซิ”

“ข้อหนึ่งห้ามแสดงพฤติกรรมชู้สาวเพราะวัยเรียนเป็นวัยที่ยังไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจเรื่องความรักดีพอ มีอัตราโทษลดหนึ่งขีดคุณธรรม ข้อสองจะต้องไม่โกหกคุณครูเพราะอาจจะทำให้ครูบังคับใช้กฎผิดไปจากเดิม มีอัตราโทษลดหนึ่งขีดคุณธรรม และข้อสามคำตัดสินของครูใหญ่ถือเป็นที่สิ้นสุด ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีอัตราโทษแล้วแต่กรณี”

กรณ์เอนหลังพิงกำแพง ปรบมือให้ผมอย่างแช่มช้า “ทำได้ดีมาก ว่าที่นักศึกษามหาวิทยาลัยธารมิกา”

นับตั้งแต่วันนั้นชีวิตของผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องพักครู ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเอกสาร ช่วยจัดเอกสารบนโต๊ะให้ครูฝน หรือแม้แต่หน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการชื่นชมคุณครูซึ่งเป็นกฎข้อที่สามสิบเอ็ด ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนครูฝนก็ให้ผู้ถือมีดประจำโรงเรียนมากรีดขีดคุณธรรมที่สองให้กับผม ยังจำได้ว่าวันนั้นใจของผมเต้นระรัว ระหว่างที่ปลายมีดลากลงบนผิวหนังแบบบางผมกัดกรามแน่น กำมือที่สั่นเทิ้ม น้ำตาแห่งความปีติยินดีไหลพราก ครูฝนยังบอกกับผมอีกว่าจะมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้กับผม

ห้องพักครูเพิ่งจะสว่างจากแดดอ่อน ๆ ที่สาดรางเข้ามา ผมตรงไปยังโต๊ะครูน้ำฝนทางมุมห้องด้านซ้าย เสียงฝีเท้ากระทบพื้นปูน เสียงลมหายใจไล่กลิ่นอับ โดยไม่ทันสังเกตเท้าของผมแตะเข้ากับอะไรบางอย่าง

“โอ๊ย” ชายที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นมามองผมฉงนฉงาย

“นาย…” ผมชี้ไปยังกองกระดาษบนหน้าตักของเขา เขาหยิบกระดาษสองสามแผ่นชูขึ้นราวกับจะย้อนถามว่านี่คือสิ่งที่ผมสงสัยใช่หรือไม่ ในเวลาเดียวกันแขนที่ชูขึ้นก็แสดงให้เห็นขีดคุณธรรมสามขีดที่ประทับลงอย่างเหมาะเจาะ

“ครูฝนให้เรามาช่วยตรวจข้อสอบ นายเพิ่งมาวันแรกหรอ” ผมพยักหน้า

ทศเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ผมไม่เคยคุยด้วย ผมไม่ยักจะรู้ว่าเขาเป็นนักเรียนดีเด่นที่ครูฝนไว้วางใจให้ช่วยงานเช่นเดียวกัน กระทั่งสองสามเดือนก่อนก็ได้รับมอบหมายให้ตรวจข้อสอบของนักเรียนในชั้นที่ครูฝนสอน รวมถึงนำข้อสอบที่ตรวจเรียบร้อยแล้วไปวางไว้ในห้องปกครอง ทศบอกว่าตั้งแต่เริ่มทำงานนี้เขาต้องมาถึงโรงเรียนก่อนหกโมงครึ่งเพื่อให้ครูฝนมีผลสอบไปประกาศในเช้าวันนั้น

“เราไม่ค่อยเห็นใครมีสามขีดเลย” ผมแสร้งพูดขณะก้มหน้าตรวจข้อสอบ สังเกตได้ว่าทศชะงักเมื่อได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ผมหันไปมองเขา

“ครูฝนบอกว่าเราเป็นคนตรงเวลา เป็นคุณสมบัติในกฎข้อที่เจ็ดสิบสี่” ทศตอบก่อนจะก้มหน้าลงไปเช่นเดิม ผมหรี่ตามองอย่างพินิจพิเคราะห์ โคลงศีรษะช้า ๆ คำพูดของเขาแทบไม่มีน้ำหนักเพราะการตรงต่อเวลาเป็นกฎพื้นฐานที่นักเรียนทุกคนต้องทำ ไม่ใช่กฎที่ทำได้ยากและให้อภิสิทธิ์แก่ผู้ทำ “นายไม่เชื่อเราหรอ” เขาโพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าผมจ้องมองเขานานผิดปกติ ผมพยักหน้าพลางยิ้มอ่อน “ถ้าจะให้เราบอก นายต้องบอกครูฝนว่าเราเป็นเพื่อนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีตามกฎข้อห้าสิบแปด” ผมยื่นมือแทนคำตอบแล้วทศก็จับมือผมในทันที “ในแต่ละวันจะมีการลงชื่อทำความสะอาดห้องเรียนที่โต๊ะครูฝน ลงได้วันละสี่รายชื่อ และเมื่อเราเป็นนักเรียนคนแรกที่ได้เข้าห้องพักครูรายชื่อของเราก็อยู่ลำดับแรกเสมอ หรือบางวันถ้าเรามาไม่ทันก็จะมีคนเขียนชื่อให้”

“ใคร” ทศไม่ตอบ เอามือตีเก้าอี้สองสามครั้งเป็นการบอกว่าเจ้าของเก้าอี้ดังกล่าวลงชื่อให้เขาโดยอัตโนมัติ

“ถ้าครูให้นายตรวจข้อสอบก็หมายความว่านายได้รับความไว้วางใจระดับหนึ่ง หัดใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ”

“ทศเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะครับ” “ทศเป็นคนอัธยาศัยดี ช่างพูดช่างคุย” “ทศเป็นคนมีน้ำใจ” “ทศเป็นคนเห็นแก่เพื่อน” ผมไม่เคยกระดากปากที่ต้องพูดคำเหล่านี้กรอกหูครูฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะตั้งแต่วันนั้นผมกับทศก็ไปกินขนม นั่งเรียน หรือแม้แต่ไปทำงานให้ครูฝนด้วยกัน มีเพียงเวลาเดียวเท่านั้นที่เราต้องอยู่ห่างกันนั่นคือตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ ทศเป็นคนตัวเล็กจึงต้องยืนด้านหน้า ส่วนผมก็ยืนท้ายแถวติดกับกรณ์ซึ่งมีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน

“พักหลังเห็นมึงสนิทกับทศ” กรณ์ถามในขณะท่องคำปฏิญาณและกฎเหล็กสามข้อของโรงเรียน ผมพยักหน้าเบา ๆ

“ข้อสองจะต้องไม่โกหกคุณครูเพราะอาจจะทำให้ครูบังคับใช้กฎผิดไปจากเดิม มีอัตราโทษ…”

“มึงไม่สงสัยหรอว่าทำไมมันไปช่วยงานครูเยอะขนาดนั้น” คำปฏิญาณของผมขาดห้วง เงี่ยหูฟังกรณ์อย่างตั้งใจ “ทศไม่ได้แค่อยากเป็นเด็กดีตามที่โรงเรียนคาดหวัง แต่มันอยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธารมิกาด้วย มึงก็รู้ว่าในหนึ่งชั้นปีมีเพียงคนเดียวที่จะได้สิทธิ์นั้น”

“แล้วทำไมมันถึงทำดีกับกู”

“มันคงยังไม่รู้ว่ามึงอยากเข้าเรียนที่ธารมิกาเหมือนกัน อย่าลืมนะว่าตอนนี้มันขาดขีดคุณธรรมขีดสุดท้ายทั้งที่มึงขาดอีกสอง”

ระยะหลังมานี้ทศไม่ได้ทำงานให้กับครูฝนคนเดียวเท่านั้น แต่ยังได้รับหน้าที่ช่วยทำงานจิปาถะให้กับครูใหญ่ เขามักจะเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องพักครูกับห้องปกครอง สามารถเข้านอกออกในได้โดยไม่ผิดสังเกต ดูท่าว่าอีกไม่นานเขาคงจะได้ขีดคุณธรรมสุดท้ายดั่งที่ตั้งใจไว้ กระทั่งเมื่อเช้านี้ทศถูกจับได้ว่าแอบขโมยเงินที่ครูใหญ่ลืมไว้บนโต๊ะทำงาน ลือกันว่าครูใหญ่ผิดหวังถึงขั้นร้องไห้และเรียกให้ผู้ถือมีดประจำโรงเรียนมาลบขีดคุณธรรมของเขาออก

ทศเอามือกุมขมับฉายให้เห็นขีดคุณธรรมที่เหลือเพียงสองขีด “กูไม่ได้ทำ ไอ้เอกมึงเชื่อกูสิ” เขาเขย่าตัวผมอย่างแรง “ความฝันที่กูจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ก็ต้องหมดกันเพราะไอ้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้” ผมแตะไหล่เขาเป็นการปลอบโยน

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกับครูใหญ่ว่าไม่ได้ทำ”

“กูบอกไปแล้ว แต่ครูใหญ่บอกว่าหลักฐานมันมัดตัว”

“กูจะหาทางช่วยมึงเอง” ได้ยินดังนั้นเขาก็สวมกอดผมแนบแน่น คำขอบคุณพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมละมือจากกระดาษคำตอบสวมกอดเขาเช่นกัน

เมื่อวานนี้กรณ์ถูกเรียกเข้าห้องปกครองเร่งด่วน หลังจากได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อผมตามไปไม่ทันจะพบเขาจึงต้องรออยู่หน้าห้องนับชั่วโมง ทันทีที่ประตูห้องปกครองเปิดออกครูใหญ่เดินออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยกรณ์ที่ออกมาหลังจากนั้นสักห้านาที ผมเดินเข้าไปคว้าแขนของกรณ์มาดู ท่อนแขนที่เหลือเพียงขีดคุณธรรมขีดเดียวทำให้ผมประหวัดถึงครั้งที่ตนเองเข้าห้องพักครู

“กูเข้าใจความรู้สึกของมึงดี”

“ครูใหญ่จับได้ว่ากูทำผิดกฎเรื่องการชู้สาว” กรณ์ตอบโดยที่ผมยังไม่ทันถาม “กูไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเจอแบบนี้ ยังจำได้เลยว่าตอนที่มึงเหลือเพียงขีดเดียวมีแต่เพื่อนรังเกียจ ต้องหลบไปทำงานกับครูฝนอยู่เป็นเดือนกว่าจะได้ขีดที่สองเพื่อให้เพื่อนกลับมายอมรับ” ผมแตะไหล่เขาเบา ๆ เป็นการปลอบโยน

“มึงคงต้องมาช่วยครูทำงานแบบกู”

“ไม่จำเป็นหรอก” กรณ์หยิบธนบัตรหนึ่งพันบาทออกจากกระเป๋ากางเกง เหลือบสายตาไปยังห้องปกครองพลางแสยะยิ้ม “กฎข้อสิบแปด การแจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลการกระทำความผิดของนักเรียนคนอื่นจะได้รับขีดคุณธรรมเพิ่มหนึ่งขีด ตอนนี้กูขาดคนช่วยให้แผนนี้สำเร็จ”

“กูจะหาทางช่วยมึงเอง” ได้ยินดังนั้นเขาก็สวมกอดผมแนบแน่น คำขอบคุณพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย

“มึงคือเพื่อนแท้สำหรับกู” กรณ์กระชับกอดให้แน่นกว่าเดิม “มึงคือเพื่อนแท้สำหรับกู” และทศก็กระชับกอดผมแน่นไม่แพ้กัน

ครูใหญ่เชิญผมมาให้ข้อมูลเรื่องการที่ทศแอบแก้คำตอบของตนเองในระหว่างตรวจข้อสอบจนได้คะแนนเต็ม เนื่องจากขีดคุณธรรมสามขีดบนท่อนแขนบ่งบอกว่าผมเป็นนักเรียนที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและวาจาสัตย์ ผมชี้ไปยังรอยปากกาลบคำผิดเกลื่อนหน้ากระดาษเพื่อยืนยันความผิดของเขา “กรณ์บอกว่าเธออยู่ในเหตุการณ์ เล่าให้ครูฟังหน่อยซิว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นยังไง”

“ตอนที่นั่งตรวจข้อสอบด้วยกันผมเห็นเขาซ่อนกระดาษคำตอบตัวเองไว้ใต้กองของคนอื่น แล้วแอบแก้ในระหว่างที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำครับ”

“ถ้าอย่างนั้นครูคงต้องจัดการเขาขั้นเด็ดขาด ขอบใจมากนะเอก ครูจะมอบขีดคุณธรรมสุดท้ายและมอบสิทธิการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยธารมิกาให้กับเธอ” ผมยกมือไหว้ ยิ้มอย่างผู้ชนะ แทบจะกลั้นความสะใจไว้ไม่อยู่ “เธอคิดว่าครูโง่หรือไง !” ครูใหญ่ตบโต๊ะผาง “คนอะไรจะแก้คำตอบให้ตัวเองได้คะแนนเต็มจนน่าผิดสังเกต” ท่านเบี่ยงสายตาไปยังประตู “เข้ามาได้”

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนมากจำนวน เพียงเหลียวหลังไปมองก็ต้องเสียวสันหลังวาบ ครูฝนเดินเข้ามาพร้อมกับทศและกรณ์

“กูขอโทษนะ ครูใหญ่เอาธนบัตรใบนั้นไปตรวจลายนิ้วมือและรู้ว่ากูเป็นคนลงมือ พอเห็นว่ามึงเป็นคนไปฟ้องเรื่องขโมยเงินท่านเลยสงสัยว่ามึงจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ยิ่งเรื่องแก้ข้อสอบกูเป็นคนไปฟ้องอีกรอบนึง ท่านเห็นพิรุธเลยบังคับให้กูสารภาพความจริงแลกกับการไม่ไล่ออก”

“ได้ยินแล้วใช่มั้ย” ครูใหญ่เอานิ้วเคาะหนังสือระเบียบคุณธรรมของการเป็นนักเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการ “น่าเสียใจนะที่ครูให้นักเรียนท่องกฎระเบียบทุกวัน แต่กลับทำให้เธอเป็นคนดีไม่ได้ วิธีเดียวที่จะแก้นิสัยได้ก็คงเป็น…การไล่เธอออก”

“แต่ผมยังมีขีดคุณธรรมตั้งสามขีดนะครับ ตามกฎเหล็กข้อสองว่าด้วยการโกหก ผมโกหกเพียงสองครั้งหมายความว่าผมจะต้องถูกลดขีดคุณธรรมเพียงสองขีดสิครับ ทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรมนะครับ” ผมควบคุมคำพูดของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งตกใจ หวาดกลัว และนึกสมเพชตัวเองอยู่ในที

ครูใหญ่เอนตัวเข้ามา ศอกวางบนโต๊ะ มือเท้าคาง หรี่ตามองผมพลางครุ่นคิด “กฎเหล็กข้อสาม…คำตัดสินของครูใหญ่ถือเป็นที่สิ้นสุด มันจะไม่ยุติธรรมได้ยังไงในเมื่อกฎทุกข้อเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ หนังสือที่ออกโดยกระทรวงศึกษาธิการ” น้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับบาดร้าวไปถึงก้นบึ้ง ความใฝ่ฝันในการเข้ามหาวิทยาลัยฉายชัดขึ้นอีกแล้ว โถมทะลักมาพร้อมกับความทรงจำอันหอมหวาน การแย่งชิง และการทรยศ ดำดิ่งไปในห้วงความเจ็บปวด ลอยคว้างอยู่กลางจักรวาลโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง

สายตาอันรางเลือนเพราะหยาดน้ำตาเกาะกุมจับไปยังท่อนแขนของตัวเอง เรียบเนียน ปราศจากรอยตำหนิ แต่มันกลับสร้างรอยตำหนิภายในจิตใจ ทุกวันนี้โรงเรียนแห่งนี้ยังคงมีระบบขีดคุณธรรม เพียงแต่เปลี่ยนจากกฎจำนวนมหาศาลเหลือเพียงสิบข้อ ข้อสามความว่า “สาม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์” ส่วนมหาวิทยาลัยธารมิกาก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ขยายวิทยาเขตได้มากถึงเจ็ดสิบเจ็ดวิทยาเขต และยังมีปณิธานในการพัฒนาเยาวชนต่อไป

--

--